ระหว่างอดีตสู้ความเปลี่ยนแปลงของโลกเมื่อเข้าสู้ 7000 ล้านคน
การเปลี่ยนแปลงของประชากรโลกในช่วงที่ 30 ปีผ่านมา ถือว่ามีอัตราการเติบโตสูงสุด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่มีสงครามครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายมหาศาลหรืออาจเรียกได้ว่า “ล้างโลก” เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เช่นสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีผู้คนล้มตายไปเกือบ 60 ล้านคน เกือบเท่ากับจำนวนประชากรไทยทั้งประเทศเลยทีเดียว หรือกระทั่งสงครามเย็นที่นำไปสู่การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้เกิดการเจรจาและผูกมิตรกันขึ้นระหว่างสองขั้วมหาอำนาจโลกระหว่างรัสเซียกับสหรัฐอเมริกา นับเป็นสาเหตุที่ทำให้เรากำลังเดินไปสู่สันติภาพของโลก เมื่อมนุษย์ไม่มีสงคราม ก็ทำให้การเติบโตของประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกปี จนองค์กรสหประชาชาติต้องออกมาเตือนเพราเกรงว่าจะเกิดปัญหาประชากรล้นโลกและปัญหาอื่น ๆ ตามมาอย่างมากมายเช่น จำนวนอาหารที่ประชากรจะใช้บริโภคนั้นอาจมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ สืบเนื่องมาจากสภาพของทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีอย่างจำกัด แน่นอนว่าย่อมเป็นปัญหาแน่ หากจำนวนประชากรโลกยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ จนนำไปสู่การทำลายสิ่งแวดล้อมและทำให้ธรรมชาติเสียสมดุลพลังงานต่างๆ ล้วนแต่เกิดการใช้อย่างฟุ่มเฟือยตามความต้องการของมนุษย์แทบทั้งสิ้นจนลืมนึกถึงคนุร่นลูกรุ่นหลานว่าจะใช้ชีวิตในอนาคตกันอย่างไร
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการคิดค้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตอาหารของหลาย ๆ หน่วยงานเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ โดยริเริ่มอยากจริงจังเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วโดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการปรับปรุงสายพันธุ์ของผลิตพันธุ์ทางการเกษตรหลาย ๆรายการให้สายพันธุ์ที่แข็งแรงขึ้น ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศและศัตรูพืช เพาะปลูกง่ายและให้ผลผลิตคุณภาพดีในปริมาณที่มากจนทำให้เรารู้จักคำว่า Biotech ซึ่งเป็นเสมือนศาสตร์แห่งการผลิตอาหารออกมาเพื่อรองรับคนทั้งโลก ในขณะที่จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการอาหารเพื่อใช้ในการบริโภคมากขึ้น แต่พื้นที่ในการผลิตอาหารกลับมีเท่าเดิม จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญของ Biotech ที่ต้องการลดต้นทุนในการผลิตแต่ให้ได้ผลผลิตมากที่สุด Biotech เป็นเหมือนการผสมผสานข้ามสายพันธุ์ โดยย่นย่อระยะเวลาตามกลไกของธรรมชาติที่ต้องใช้เวลากว่า 100 ปีหรือ 1000 ปี ในการปรับตัวจึงจะเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ใหม่แบบธรรมชาติได้ แต่หากใช้วิธีการนี้แล้ว เราสามารถย่อเวลาให้เหลือเพียงไม่กี่วันได้เลยทีเดียว ทำให้เกิดเป็นยุคของ GMOs หรือการตัดแต่งพันธุกรรม ที่เป็นเหมือนการกระโดดข้ามขั้นตอนของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตามครรลองของระบบธรรมชาติจึงเป็นที่มาของคำถามว่า สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์หรือแม้กระทั่งระบบนิเวศน์วิทยาตามธรรมชาติหรือไม่และอย่างไร ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีผลของการทดลองที่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าหากมนุษย์บริโภคอาหารที่เกิดจากการตัดแต่งพันธุกรรมนั้น จะมีผลกระทบในระยะยาวหรือไม่ เพราะระยะเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มบริโภคอาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวนั้น มีระยะเวลาเพียง 10 กว่าปีเท่านั้น
ที่สำคัญยังมีการข้ามสายพันธุ์ระหว่างพืชที่ผ่านขั้นตอนการตัดแต่งพันธุกรรมกับพืชธรรมชาติที่ปลูกอยู่ในแปลงใกล้ ๆ กัน โดยเป็นการข้ามสายพันธุ์แบบรุกรานของพืช GMOs ต่อพืชธรรมชาติดั้งเดิม ทั้งโดยกระแสลมและแมลงต่าง ๆ จนเกิดการรุกรานพันธุ์ตามธรรมชาติโดยธรรมชาติซึ่งยากที่จะควบคุมได้แล้ว จึงถือว่าเราไม่สามารถที่จะหยุดยั้งระบบเพื่อไม่ให้เกิดการข้ามสายพันธุ์บนโลกนี้ได้อีกแล้ว เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วในประเทศอังกฤษ ได้มีการทดลองแม่หนูสองครอก โดยครอกแรกให้อาหารตามธรรมชาติและครอกที่สองให้อาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม พบว่าครอกที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมนั้นคลอดลูกออกมาตายทั้งหมด ส่วนครอกที่กินอาหารตามธรรมชาติมีการคลอดและเจริญเติบโตอย่างปรกติ สิ่งนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับหมู่นักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะโครงสร้างของหนูนั้นคล้ายกับคนมากสังคมปัจจุบันกำลังมีความกังวลใจ และมีข้อข้องใจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมซึ่งมีทั้งพืช สัตว์และจุลินทรีย์ หรือที่เราเรียกกันว่า จีเอ็มโอ (GMOs) ว่าการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบเป็นจีเอ็มโอจะมีผลกระทบต่อร่างกายหรือไม่ อย่างไรทั้งในแง่ประโยชน์และโทษเนื่องจากเทคโนโลยีใหม่นี้มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้และทำความรู้จักกับพืช สัตว์และจุลินทรีย์ดัดแแปลงพันธุกรรมเหล่านี้เพื่อจะได้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องและมีความเข้าใจในประเด็นมากขึ้นเพราะยังไม่มีผลการทดลองใดกล้ายืนยันว่าผลิตภัณฑ์ GMOs มีความปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์ 100%
นอกจากนี้ เรายังมีความเข้าใจผิด ในเรื่องเกี่ยวกับอัตราการเพิ่มของประชากร คือ
1.การเพิ่มเป็นไปอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ
2.การเกิดเหตุการณ์พิเศษ เช่น สงครามโลกหรือโรคระบาดจะทำให้จำนวนประชากรลดลง
3.การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากสุขภาพที่ดีขึ้น
การคาดการณ์จำนวนประชากรโลกในอนาคตไว้ 3 ระดับ คือ
1.ระดับต่ำ ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.35 พันล้านคนในปี 2606 และจะค่อยๆ
ลดลงเหลือ 8 พันล้านคนในศตวรรษต่อไป
2.ระดับกลาง ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1 หมื่นล้านคนในปี 2602
และจะขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 10.48 พันล้าน ในปี 2625 และค่อยๆ ลดลงเหลือ 10.3
พันล้านเมื่อสิ้นคริสต์ ศตวรรษที่ 22
3.ระดับสูง ประชากรโลก จะเพิ่มขึ้นเกิน 1 หมื่นล้านคน ในปี 2600 และเพิ่มขึ้นถึง 1.2
หมื่นล้านคน ในปี 2638 โดยประชากรส่วนใหญ่ของโลกถึงกว่า 3 ใน 4 อาศัยอยู่ในเพียง
2 ทวีป คือ เอเชียและแอฟริกา ระหว่างปี 2545-2593 นั้นจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น 1
ใน 3 จะอยู่ในแอฟริกาและครึ่งหนึ่งจะอยู่ในเอเชีย แต่ละปีจำนวนประชากรของเอเชียแ
ละแอฟริกาเพิ่มขึ้น 49 และ 20 ล้านคนตามลำดับ ส่วนจำนวนประชากรชาวยุโรปลดลง
ปีละ 0.7 ล้านคน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการคิดค้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตอาหารของหลาย ๆ หน่วยงานเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ โดยริเริ่มอยากจริงจังเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วโดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการปรับปรุงสายพันธุ์ของผลิตพันธุ์ทางการเกษตรหลาย ๆรายการให้สายพันธุ์ที่แข็งแรงขึ้น ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศและศัตรูพืช เพาะปลูกง่ายและให้ผลผลิตคุณภาพดีในปริมาณที่มากจนทำให้เรารู้จักคำว่า Biotech ซึ่งเป็นเสมือนศาสตร์แห่งการผลิตอาหารออกมาเพื่อรองรับคนทั้งโลก ในขณะที่จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการอาหารเพื่อใช้ในการบริโภคมากขึ้น แต่พื้นที่ในการผลิตอาหารกลับมีเท่าเดิม จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญของ Biotech ที่ต้องการลดต้นทุนในการผลิตแต่ให้ได้ผลผลิตมากที่สุด Biotech เป็นเหมือนการผสมผสานข้ามสายพันธุ์ โดยย่นย่อระยะเวลาตามกลไกของธรรมชาติที่ต้องใช้เวลากว่า 100 ปีหรือ 1000 ปี ในการปรับตัวจึงจะเกิดการผสมข้ามสายพันธุ์ใหม่แบบธรรมชาติได้ แต่หากใช้วิธีการนี้แล้ว เราสามารถย่อเวลาให้เหลือเพียงไม่กี่วันได้เลยทีเดียว ทำให้เกิดเป็นยุคของ GMOs หรือการตัดแต่งพันธุกรรม ที่เป็นเหมือนการกระโดดข้ามขั้นตอนของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตามครรลองของระบบธรรมชาติจึงเป็นที่มาของคำถามว่า สิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์หรือแม้กระทั่งระบบนิเวศน์วิทยาตามธรรมชาติหรือไม่และอย่างไร ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีผลของการทดลองที่สามารถยืนยันได้ 100% ว่าหากมนุษย์บริโภคอาหารที่เกิดจากการตัดแต่งพันธุกรรมนั้น จะมีผลกระทบในระยะยาวหรือไม่ เพราะระยะเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มบริโภคอาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวนั้น มีระยะเวลาเพียง 10 กว่าปีเท่านั้น
ที่สำคัญยังมีการข้ามสายพันธุ์ระหว่างพืชที่ผ่านขั้นตอนการตัดแต่งพันธุกรรมกับพืชธรรมชาติที่ปลูกอยู่ในแปลงใกล้ ๆ กัน โดยเป็นการข้ามสายพันธุ์แบบรุกรานของพืช GMOs ต่อพืชธรรมชาติดั้งเดิม ทั้งโดยกระแสลมและแมลงต่าง ๆ จนเกิดการรุกรานพันธุ์ตามธรรมชาติโดยธรรมชาติซึ่งยากที่จะควบคุมได้แล้ว จึงถือว่าเราไม่สามารถที่จะหยุดยั้งระบบเพื่อไม่ให้เกิดการข้ามสายพันธุ์บนโลกนี้ได้อีกแล้ว เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วในประเทศอังกฤษ ได้มีการทดลองแม่หนูสองครอก โดยครอกแรกให้อาหารตามธรรมชาติและครอกที่สองให้อาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม พบว่าครอกที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมนั้นคลอดลูกออกมาตายทั้งหมด ส่วนครอกที่กินอาหารตามธรรมชาติมีการคลอดและเจริญเติบโตอย่างปรกติ สิ่งนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับหมู่นักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะโครงสร้างของหนูนั้นคล้ายกับคนมากสังคมปัจจุบันกำลังมีความกังวลใจ และมีข้อข้องใจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมซึ่งมีทั้งพืช สัตว์และจุลินทรีย์ หรือที่เราเรียกกันว่า จีเอ็มโอ (GMOs) ว่าการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบเป็นจีเอ็มโอจะมีผลกระทบต่อร่างกายหรือไม่ อย่างไรทั้งในแง่ประโยชน์และโทษเนื่องจากเทคโนโลยีใหม่นี้มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้และทำความรู้จักกับพืช สัตว์และจุลินทรีย์ดัดแแปลงพันธุกรรมเหล่านี้เพื่อจะได้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องและมีความเข้าใจในประเด็นมากขึ้นเพราะยังไม่มีผลการทดลองใดกล้ายืนยันว่าผลิตภัณฑ์ GMOs มีความปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์ 100%
นอกจากนี้ เรายังมีความเข้าใจผิด ในเรื่องเกี่ยวกับอัตราการเพิ่มของประชากร คือ
1.การเพิ่มเป็นไปอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ
2.การเกิดเหตุการณ์พิเศษ เช่น สงครามโลกหรือโรคระบาดจะทำให้จำนวนประชากรลดลง
3.การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากสุขภาพที่ดีขึ้น
การคาดการณ์จำนวนประชากรโลกในอนาคตไว้ 3 ระดับ คือ
1.ระดับต่ำ ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.35 พันล้านคนในปี 2606 และจะค่อยๆ
ลดลงเหลือ 8 พันล้านคนในศตวรรษต่อไป
2.ระดับกลาง ประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1 หมื่นล้านคนในปี 2602
และจะขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 10.48 พันล้าน ในปี 2625 และค่อยๆ ลดลงเหลือ 10.3
พันล้านเมื่อสิ้นคริสต์ ศตวรรษที่ 22
3.ระดับสูง ประชากรโลก จะเพิ่มขึ้นเกิน 1 หมื่นล้านคน ในปี 2600 และเพิ่มขึ้นถึง 1.2
หมื่นล้านคน ในปี 2638 โดยประชากรส่วนใหญ่ของโลกถึงกว่า 3 ใน 4 อาศัยอยู่ในเพียง
2 ทวีป คือ เอเชียและแอฟริกา ระหว่างปี 2545-2593 นั้นจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น 1
ใน 3 จะอยู่ในแอฟริกาและครึ่งหนึ่งจะอยู่ในเอเชีย แต่ละปีจำนวนประชากรของเอเชียแ
ละแอฟริกาเพิ่มขึ้น 49 และ 20 ล้านคนตามลำดับ ส่วนจำนวนประชากรชาวยุโรปลดลง
ปีละ 0.7 ล้านคน