ปัจจุบันประชากรโลก
ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับ โดยการเปลี่ยนแปลงของประชากรโลก
เกิดจากอัตราการเกิดและการตาย ซึ่งส่งผลกระทบเช่นเดียวกัน ในทุกประเทศทั่วโลก
ด้วยองค์การสหประชาชาติ (UNFPA)ได้เล็งเห็นความสำคัญของประชากรหรือมนุษย์
ซึ่งเป็นตัวแปรหลัก ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาวะต่างๆ
โดยทั่วโลกได้มีการเฉลิมฉลอง จำนวนประชากรโลกที่มีจำนวนครบ 5,000 ล้าน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2530 องค์การสหประชาชาติ จึงได้ประกาศให้วันที่ 11
กรกฏาคมของทุกปี เป็นวันประชากรโลก
ประชากรโลกนั้นมีแนวโน้มว่าจะมีวัยเด็กลดน้อยลง โดยจำนวนของประชากรสูงอายุมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น แสดงว่าโครงสร้างของประชากรได้เปลี่ยนแปลงเข้าไปสู่สังคมผู้สูงอายุ (Anging Society) ซึ่งขณะนี้ยุโรปกลายเป็นภูมิภาค ที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอิตาลี กรีซ เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ หลายต่อหลายประเทศ จึงพยายามศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุมากขึ้น เพื่อพัฒนาประเทศของตนให้มีคุณภาพกลายเป็น “สังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ” ต่อไปในอนาคต
ชาวเอเชียมีจำนวนสูงถึง 60% ของจำนวนประชากรโลก ซึ่งประเทศจีน เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก และตามมาด้วยประเทศอินเดีย ส่วนประเทศไทยนั้นอยู่ในอันดับที่ 19 โดยมีประชากรจำนวน 60 ล้านคน (2539) ซึ่งคาดการณ์เอาไว้ว่าในปี พ.ศ.2562 ประชาชนชาวไทยจะมีจำนวน 70 ล้านคน
ประชากรโลกนั้นมีแนวโน้มว่าจะมีวัยเด็กลดน้อยลง โดยจำนวนของประชากรสูงอายุมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น แสดงว่าโครงสร้างของประชากรได้เปลี่ยนแปลงเข้าไปสู่สังคมผู้สูงอายุ (Anging Society) ซึ่งขณะนี้ยุโรปกลายเป็นภูมิภาค ที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอิตาลี กรีซ เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ หลายต่อหลายประเทศ จึงพยายามศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุมากขึ้น เพื่อพัฒนาประเทศของตนให้มีคุณภาพกลายเป็น “สังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ” ต่อไปในอนาคต
ชาวเอเชียมีจำนวนสูงถึง 60% ของจำนวนประชากรโลก ซึ่งประเทศจีน เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก และตามมาด้วยประเทศอินเดีย ส่วนประเทศไทยนั้นอยู่ในอันดับที่ 19 โดยมีประชากรจำนวน 60 ล้านคน (2539) ซึ่งคาดการณ์เอาไว้ว่าในปี พ.ศ.2562 ประชาชนชาวไทยจะมีจำนวน 70 ล้านคน
ในประเทศไทย ก็มีแนวโน้มเข้าสังคมผู้สูงอายุ เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งอัตราการเพิ่มของจำนวนประชากรไทยลดลง สืบเนื่องมากจากการวางแผนครอบครัว ซึ่งพบว่าปัจจุบันประชากรไทย มีอัตราเจริญพันธุ์โดยรวม ลดลงต่ำกว่าระดับทดแทนถึงประมาณ 1.8 คน หรือผู้หญิงหนึ่งคนจะมีลูกไม่เกิน 2 คน อีกทั้งประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2527 คิดเป็นร้อยละ 5.7 และในปี 2546 คิดเป็นร้อยละ 9.6 คาดว่าน่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14.7 ในปี 2562 แสดงว่าในอนาคตประเทศไทย น่าจะมีประชากรสูงอายุมากกว่าประชากรวัยเด็ก เพราะฉะนั้นประชากรไทย และประชากรทั่วโลก จะต้องมีแผนการพัฒนาสังคม และเศรษฐกิจเพื่อรองรับระบบสังคมในอนาคตต่อไป
รายงานฉบับใหม่ของสำนักสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐระบุว่า ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของประชากรโลกสูงขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดกว่าที่เคยเป็นมา และในอีกราว 10 ปี ประชากรโลกที่อายุเกิน 65 ปีจะมีจำนวนมากกว่าเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์
รายงานการสำรวจของสำนักสำมะโนประชากรสหรัฐฉบับล่าสุดระบุว่า ภายในปี 2040 ประชากรโลกที่อายุเกิน 65 ปีจะเพิ่มจาก 7% เป็น 14% คิดเป็นจำนวนจาก 506 ล้านคนเป็น 1,300 ล้านคน โดยประชากรอายุเกิน 65 ปีในประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้นถึงจาก 313 ล้านคนในปัจจุบันเป็นมากกว่า 1 พันล้านคนในปี 2040 โดยเฉพาะในจีนและอินเดีย ซึ่งประชากรอายุเกิน 65 ปีจะเพิ่มขึ้นจาก 166 ล้านคน เป็น 551 ล้านคนในอีก 31 ปีข้างหน้า
ประชากรโลกอายุ 80 ปีหรือมากกว่าคือกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุดในหลายๆ ประเทศ และคาดว่าจำนวนประชากรในกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% ก่อนปี 2050 ในขณะที่จำนวนประชากรโลกที่อายุมากกว่า 100 ปีก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ปัจจุบันมีผู้ที่อายุเกินกว่า 100 ปีประมาณ 340,000 คนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากจำนวนไม่กี่พันคนเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว ส่วนใหญ่อยู่ในอเมริกาและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ยุโรปจะยังคงเป็นแถบที่ประชากรมีอายุเฉลี่ยสูงที่สุดต่อไป จนถึงช่วงกลางศตวรรษนี้ ในขณะที่ประเทศแถบทางใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า คือแถบที่มีประชากรมีอายุเฉลี่ยน้อยที่สุด
บรรดาผู้เชี่ยวชาญให้เหตุผลว่า มี 2 ปัจจัยที่ทำให้อายุเฉลี่ยของประชากรโลกสูงขึ้น คือผู้คนอายุยืนยาวขึ้นเนื่องจากการพัฒนาการรักษาพยาบาล และอัตราการเกิดของประชากรลดลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเอเชียและยุโรปหลายประเทศ หนุ่มสาวจำนวนมากที่แต่งงานมีลูกไม่ถึง 2 คนซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมในการทดแทนจำนวนประชากร โดยผู้หญิงในแถบเอเชียตะวันออกและยุโรปตะวันตก มีบุตรเฉลี่ย 1.6 คน ในขณะที่คู่แต่งงานในยุโรปตะวันออกมีบุตรเฉลี่ยเพียง 1.4 คน
สำหรับหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรม การมีประชากรสูงอายุจำนวนมากถือเป็นปัญหาท้าทายประการหนึ่ง เนื่องจากประชากรวัยแรงงานจะมีจำนวนลดลง ในขณะที่ผู้เกษียณอายุมีมากขึ้น รายได้จากภาษีของรัฐบาลจะลดลง ส่งผลกระทบด้านลบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจ และอาจเกิดเป็นปัญหาสังคมได้ ปัจจุบันรัฐบาลหลายประเทศ จึงกำลังกระตุ้นให้ประชากรทำงานนานขึ้น และสนับสนุนให้เกษียณอายุตอน 70 ปี ซึ่งจะช่วยให้มีประชากรในวัยแรงงานที่ช่วยจ่ายภาษีมากขึ้น และชะลอการจ่ายเงินบำนาญไว้ได้อีกหลายปี
รายงานฉบับใหม่ของสำนักสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐระบุว่า ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของประชากรโลกสูงขึ้นในอัตราที่รวดเร็วที่สุดกว่าที่เคยเป็นมา และในอีกราว 10 ปี ประชากรโลกที่อายุเกิน 65 ปีจะมีจำนวนมากกว่าเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์
รายงานการสำรวจของสำนักสำมะโนประชากรสหรัฐฉบับล่าสุดระบุว่า ภายในปี 2040 ประชากรโลกที่อายุเกิน 65 ปีจะเพิ่มจาก 7% เป็น 14% คิดเป็นจำนวนจาก 506 ล้านคนเป็น 1,300 ล้านคน โดยประชากรอายุเกิน 65 ปีในประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้นถึงจาก 313 ล้านคนในปัจจุบันเป็นมากกว่า 1 พันล้านคนในปี 2040 โดยเฉพาะในจีนและอินเดีย ซึ่งประชากรอายุเกิน 65 ปีจะเพิ่มขึ้นจาก 166 ล้านคน เป็น 551 ล้านคนในอีก 31 ปีข้างหน้า
ประชากรโลกอายุ 80 ปีหรือมากกว่าคือกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุดในหลายๆ ประเทศ และคาดว่าจำนวนประชากรในกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% ก่อนปี 2050 ในขณะที่จำนวนประชากรโลกที่อายุมากกว่า 100 ปีก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ปัจจุบันมีผู้ที่อายุเกินกว่า 100 ปีประมาณ 340,000 คนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากจำนวนไม่กี่พันคนเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว ส่วนใหญ่อยู่ในอเมริกาและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ยุโรปจะยังคงเป็นแถบที่ประชากรมีอายุเฉลี่ยสูงที่สุดต่อไป จนถึงช่วงกลางศตวรรษนี้ ในขณะที่ประเทศแถบทางใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า คือแถบที่มีประชากรมีอายุเฉลี่ยน้อยที่สุด
บรรดาผู้เชี่ยวชาญให้เหตุผลว่า มี 2 ปัจจัยที่ทำให้อายุเฉลี่ยของประชากรโลกสูงขึ้น คือผู้คนอายุยืนยาวขึ้นเนื่องจากการพัฒนาการรักษาพยาบาล และอัตราการเกิดของประชากรลดลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเอเชียและยุโรปหลายประเทศ หนุ่มสาวจำนวนมากที่แต่งงานมีลูกไม่ถึง 2 คนซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมในการทดแทนจำนวนประชากร โดยผู้หญิงในแถบเอเชียตะวันออกและยุโรปตะวันตก มีบุตรเฉลี่ย 1.6 คน ในขณะที่คู่แต่งงานในยุโรปตะวันออกมีบุตรเฉลี่ยเพียง 1.4 คน
สำหรับหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรม การมีประชากรสูงอายุจำนวนมากถือเป็นปัญหาท้าทายประการหนึ่ง เนื่องจากประชากรวัยแรงงานจะมีจำนวนลดลง ในขณะที่ผู้เกษียณอายุมีมากขึ้น รายได้จากภาษีของรัฐบาลจะลดลง ส่งผลกระทบด้านลบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจ และอาจเกิดเป็นปัญหาสังคมได้ ปัจจุบันรัฐบาลหลายประเทศ จึงกำลังกระตุ้นให้ประชากรทำงานนานขึ้น และสนับสนุนให้เกษียณอายุตอน 70 ปี ซึ่งจะช่วยให้มีประชากรในวัยแรงงานที่ช่วยจ่ายภาษีมากขึ้น และชะลอการจ่ายเงินบำนาญไว้ได้อีกหลายปี
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรโลก
ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นนั้น มีสาเหตุมาจาก
-การค้นคว้าทางการแพทย์ ที่มีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การผลิตวัคซีนป้องกันและรักษาโรค รวมถึงมีองค์การที่เกี่ยวกับการระบาดของโรคและวัฏจักรของการแพร่เชื้อโรค
-ความรู้เรื่องสุขอนามัยของประชากร ประชากรโลกแทบทุกประเทศมีความรู้เรื่องสุขอนามัยมากขึ้นรวมทั้งมีการจัดการระบบ การวางแผนครอบครัวที่มีประสิทธิภาพ
-ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่ประชาชนสามารถรับรู้ข่าวสารทางการแพทย์ และสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง เช่น ผู้ป่วยสามารถปรึกษาอาการกับแพทย์ ได้ทางโทรศัพท์หรือสื่อต่างๆ หรือการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ ผ่านระบบโทรคมนาคมต่างๆ เป็นต้น
-ระบบสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้หญิงเริ่มมีบทบาททางสังคมมากขึ้น ทำให้ผู้หญิงทีมีทัศนคติต่อการแต่งงานเป็นด้านลบ ส่งผลให้จำนวนประชากรวัยเด็กลดน้อยลง
ปัญหาของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก
1.ปัญหาการขาดแคลนอาหารและทัพยากร
- เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมากอาหารและทรัพยากรต่างๆ ย่อมไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก่อให้เกิดการขาดแคลนในบางประเทศที่กำลัีงพัฒนา
- การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ อาจทำให้อาหารมีสารพิษปนเปื้อน หรือ ทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ
2.ปัญหาการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
- เมื่อมีการขาดแคลนทรัพยากรเกิดขึ้นทำให้ต้องมีการบุกรุกป่าไม้ เพื่อที่จะหาทรัพยากร ทำให้เกิดการขาดพื้นที่ป่าไม้ และเป็นการทำลายระบบนิเวศน์
- ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างมาก มีการปล่อยของเสียสู่ที่ต่าง ๆ ทำให้เกิดมลพิษ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชากรโลก และ ทำให้สภาพอากาศโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น
3.ปัญหาด้านคุณภาพชีวิตและสังคม
- เมื่อทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด แต่ประชากรกลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยกรและการแข่งขันทางสังคมสูงขึ้น
- ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสังคม เช่น การขาดการศึกษา สุขภาพอนามัยไม่ดี ขาดแคลนที่อยู่ และ ปัญหาการว่างงาน
4.ปัญหาการขัดแย้งระหว่างประเทศ
- ประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว บางประเทศมีนโยบายระบายประชากรออก เเพื่อแสวงหาอาณานิคมและทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งอาจทำหใ้เกิดการขัดแย้งขึ้นประหว่างประเทศ
- ก่อให้เกิดปัญหา รุกกล้ำข้ามพรมเดิน หรือ ผู้อพยบเข้ามาอย่างผิดกฏหมาย
ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นนั้น มีสาเหตุมาจาก
-การค้นคว้าทางการแพทย์ ที่มีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การผลิตวัคซีนป้องกันและรักษาโรค รวมถึงมีองค์การที่เกี่ยวกับการระบาดของโรคและวัฏจักรของการแพร่เชื้อโรค
-ความรู้เรื่องสุขอนามัยของประชากร ประชากรโลกแทบทุกประเทศมีความรู้เรื่องสุขอนามัยมากขึ้นรวมทั้งมีการจัดการระบบ การวางแผนครอบครัวที่มีประสิทธิภาพ
-ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่ประชาชนสามารถรับรู้ข่าวสารทางการแพทย์ และสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง เช่น ผู้ป่วยสามารถปรึกษาอาการกับแพทย์ ได้ทางโทรศัพท์หรือสื่อต่างๆ หรือการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ ผ่านระบบโทรคมนาคมต่างๆ เป็นต้น
-ระบบสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้หญิงเริ่มมีบทบาททางสังคมมากขึ้น ทำให้ผู้หญิงทีมีทัศนคติต่อการแต่งงานเป็นด้านลบ ส่งผลให้จำนวนประชากรวัยเด็กลดน้อยลง
ปัญหาของการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก
1.ปัญหาการขาดแคลนอาหารและทัพยากร
- เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมากอาหารและทรัพยากรต่างๆ ย่อมไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก่อให้เกิดการขาดแคลนในบางประเทศที่กำลัีงพัฒนา
- การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ อาจทำให้อาหารมีสารพิษปนเปื้อน หรือ ทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ
2.ปัญหาการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
- เมื่อมีการขาดแคลนทรัพยากรเกิดขึ้นทำให้ต้องมีการบุกรุกป่าไม้ เพื่อที่จะหาทรัพยากร ทำให้เกิดการขาดพื้นที่ป่าไม้ และเป็นการทำลายระบบนิเวศน์
- ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างมาก มีการปล่อยของเสียสู่ที่ต่าง ๆ ทำให้เกิดมลพิษ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชากรโลก และ ทำให้สภาพอากาศโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น
3.ปัญหาด้านคุณภาพชีวิตและสังคม
- เมื่อทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด แต่ประชากรกลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยกรและการแข่งขันทางสังคมสูงขึ้น
- ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสังคม เช่น การขาดการศึกษา สุขภาพอนามัยไม่ดี ขาดแคลนที่อยู่ และ ปัญหาการว่างงาน
4.ปัญหาการขัดแย้งระหว่างประเทศ
- ประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว บางประเทศมีนโยบายระบายประชากรออก เเพื่อแสวงหาอาณานิคมและทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งอาจทำหใ้เกิดการขัดแย้งขึ้นประหว่างประเทศ
- ก่อให้เกิดปัญหา รุกกล้ำข้ามพรมเดิน หรือ ผู้อพยบเข้ามาอย่างผิดกฏหมาย
11 กรกฎาคม วันประชากรโลก
เมื่อกล่าวถึง ประชากร มักจะมองเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของประชากรโลกเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อทุกๆ ประเทศในโลก องค์การสหประชาชาติได้ให้ความสำคัญของประชากร โดยประกาศในปี 2530 ให้ วันที่ 11 กรกฎาคมของทุกปีเป็น วันประชากรโลก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้ความสนใจและได้จัดทำบทความนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามแนวโน้มประชากรโลกและสถานการณ์ของประชากรไทย
เมื่อกล่าวถึง ประชากร มักจะมองเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา(Dynamic สำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้ความสนใจและได้จัดทำบทความนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามแนวโน้มประชากรโลก และสถานการณ์ของประชากรไทย ประชากรโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จาก 3,000 ล้านคน ในปี 2504 เป็น 4,000 ล้านคน ในปี 2518 และเพิ่มขึ้นจนมีจำนวนครบ 5,000 ล้านคน ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2530 (องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 11 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น "วันประชากรโลก")จากนั้นประชากรโลกก็เพิ่มเป็น 6,000 ล้านคน ในปี 2542 และจากการคาดประมาณ พบว่า ในเดือนกรกฎาคม 2546 นี้ โลกจะมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 6,300 ล้านคน เมื่อพิจารณาการกระจายตัวของประชากรโลก จะเห็นว่าประเทศจีนและอินเดียเพียง 2 ประเทศเท่านั้น ก็มีประชากรประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรโลกแล้ว ที่น่าสนใจคือประเทศที่มีประชากรมากส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปเอเชีย หรือประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลก อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียและประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก
การเปลี่ยนแปลงของประชากรโลก ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้น เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง ที่เกิดจากปัจจัยหลักเพียง 2 ประการคือ การเกิด และการตาย ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงของประชากร ในภูมิภาคย่อยๆ เช่น ทวีปหรือประเทศ ที่มีปัจจัยหลักนอกจากการเกิด และการตายแล้ว ยังมีการย้ายถิ่นของประชากรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ประเทศไทยมีขนาดของประชากรประมาณ 1% ของประชากรโลกและมีการเพิ่มขึ้นของประชากรประมาณ 1 ใน 140 ส่วนของการเพิ่มประชากรโลก หรืออาจกล่าวได้ว่าทุก 1 นาที โลกจะมีเด็กเกิดใหม่ 140 คน ในขณะที่ประเทศไทยทุก 1 นาที จะมีประชากรไทยเพิ่มขึ้น 1 คน ซึ่ง 1 คนที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจจะเป็นเด็กเกิดใหม่ หรืออาจจะเป็นการเพิ่มโดยการย้ายถิ่นเข้ามาจากต่างประเทศก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก และประชากรไทยดังกล่าวนั้น เป็นการเพิ่มในอัตราที่ลดลงทุกปี
เมื่อกล่าวถึง ประชากร มักจะมองเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของประชากรโลกเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อทุกๆ ประเทศในโลก องค์การสหประชาชาติได้ให้ความสำคัญของประชากร โดยประกาศในปี 2530 ให้ วันที่ 11 กรกฎาคมของทุกปีเป็น วันประชากรโลก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้ความสนใจและได้จัดทำบทความนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามแนวโน้มประชากรโลกและสถานการณ์ของประชากรไทย
เมื่อกล่าวถึง ประชากร มักจะมองเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา(Dynamic สำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้ความสนใจและได้จัดทำบทความนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามแนวโน้มประชากรโลก และสถานการณ์ของประชากรไทย ประชากรโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จาก 3,000 ล้านคน ในปี 2504 เป็น 4,000 ล้านคน ในปี 2518 และเพิ่มขึ้นจนมีจำนวนครบ 5,000 ล้านคน ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2530 (องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 11 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น "วันประชากรโลก")จากนั้นประชากรโลกก็เพิ่มเป็น 6,000 ล้านคน ในปี 2542 และจากการคาดประมาณ พบว่า ในเดือนกรกฎาคม 2546 นี้ โลกจะมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 6,300 ล้านคน เมื่อพิจารณาการกระจายตัวของประชากรโลก จะเห็นว่าประเทศจีนและอินเดียเพียง 2 ประเทศเท่านั้น ก็มีประชากรประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรโลกแล้ว ที่น่าสนใจคือประเทศที่มีประชากรมากส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปเอเชีย หรือประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลก อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียและประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก
การเปลี่ยนแปลงของประชากรโลก ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้น เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง ที่เกิดจากปัจจัยหลักเพียง 2 ประการคือ การเกิด และการตาย ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงของประชากร ในภูมิภาคย่อยๆ เช่น ทวีปหรือประเทศ ที่มีปัจจัยหลักนอกจากการเกิด และการตายแล้ว ยังมีการย้ายถิ่นของประชากรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ประเทศไทยมีขนาดของประชากรประมาณ 1% ของประชากรโลกและมีการเพิ่มขึ้นของประชากรประมาณ 1 ใน 140 ส่วนของการเพิ่มประชากรโลก หรืออาจกล่าวได้ว่าทุก 1 นาที โลกจะมีเด็กเกิดใหม่ 140 คน ในขณะที่ประเทศไทยทุก 1 นาที จะมีประชากรไทยเพิ่มขึ้น 1 คน ซึ่ง 1 คนที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจจะเป็นเด็กเกิดใหม่ หรืออาจจะเป็นการเพิ่มโดยการย้ายถิ่นเข้ามาจากต่างประเทศก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก และประชากรไทยดังกล่าวนั้น เป็นการเพิ่มในอัตราที่ลดลงทุกปี
สำหรับประเทศไทยนั้นมีประชากรครบ 50 ล้านคน เมื่อปี 2527 และ 60 ล้านคน ในอีก 12 ปีต่อมา
(ปี2539) ต่อจากนั้นได้มีการคาดประมาณว่าจะมีประชากร 70 ล้านคน ในอีก 23 ปีข้างหน้า คือ ปี 2562 จะเห็นได้ว่าการเพิ่มขึ้นของประชากรไทยเป็นการเพิ่มในอัตราที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งประเทศไทยประสบความสำเร็จ ในการวางแผนครอบครัว จนทำให้ปัจจุบันประชากรไทย มีอัตราเจริญพันธุ์โดยรวม ลดลงต่ำกว่าระดับทดแทนถึงประมาณ 1.8 คน หรือกล่าวได้ว่าสตรี 1 คน จะมีบุตรน้อยกว่า 2 คน
ในขณะที่อายุของคนไทยยืนยาวขึ้น ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต คือ ประเทศไทยจะมีประชากรสูงอายุ(60 ปีขึ้นไป) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่รวดเร็วมากจากร้อยละ 5.7 ในปี 2527 เป็นร้อยละ 9.6 ในปี 2546 และคาดว่าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 14.7 ในปี 2562 ในขณะที่ประชากรวัยเด็ก(0-14ปี) จะลดลงจากร้อยละ 36.9 ในปี 2527 เหลือเพียงร้อยละ 20.0 ในปี 2562 ถ้าเป็นเช่นนี้ในอนาคตประเทศไทยน่าจะมีประชากรสูงอายุมากกว่าประชากรวัยเด็ก
(ปี2539) ต่อจากนั้นได้มีการคาดประมาณว่าจะมีประชากร 70 ล้านคน ในอีก 23 ปีข้างหน้า คือ ปี 2562 จะเห็นได้ว่าการเพิ่มขึ้นของประชากรไทยเป็นการเพิ่มในอัตราที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งประเทศไทยประสบความสำเร็จ ในการวางแผนครอบครัว จนทำให้ปัจจุบันประชากรไทย มีอัตราเจริญพันธุ์โดยรวม ลดลงต่ำกว่าระดับทดแทนถึงประมาณ 1.8 คน หรือกล่าวได้ว่าสตรี 1 คน จะมีบุตรน้อยกว่า 2 คน
ในขณะที่อายุของคนไทยยืนยาวขึ้น ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต คือ ประเทศไทยจะมีประชากรสูงอายุ(60 ปีขึ้นไป) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่รวดเร็วมากจากร้อยละ 5.7 ในปี 2527 เป็นร้อยละ 9.6 ในปี 2546 และคาดว่าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 14.7 ในปี 2562 ในขณะที่ประชากรวัยเด็ก(0-14ปี) จะลดลงจากร้อยละ 36.9 ในปี 2527 เหลือเพียงร้อยละ 20.0 ในปี 2562 ถ้าเป็นเช่นนี้ในอนาคตประเทศไทยน่าจะมีประชากรสูงอายุมากกว่าประชากรวัยเด็ก
การเปลี่ยนโครงสร้างประชากรเป็นประชากรสูงอายุนี้ กำลังเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อทุกคนในสังคมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม เช่น การบริโภค การลงทุน การออม ตลาดแรงงาน ระบบการจ่ายเบี้ยบำนาญ การเก็บภาษี การให้บริการสาธารณสุข สถาบันครอบครัว แบบแผนการอยู่อาศัย การย้ายถิ่น เป็นต้น
สรุป ประชากรโลกและประชากรไทยมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลง ที่คล้ายคลึงกัน คือการเกิด และการตาย แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงของประชากรไทย มีการย้ายถิ่นเกี่ยวข้องด้วย ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลกอยู่ในทวีปเอเชีย ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีประชากร มากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก และมีประชากรคิดเป็น 1% ของประชากรโลก ขนาดของประชากรไทยมีการเคลื่อนไหวของจำนวนประชากร ที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่เป็นการเพิ่มในอัตราที่ลดลงทุกปี ประเทศไทยประสบความสำเร็จด้านการวางแผนครอบครัว ทำให้มีอัตราการเจริญพันธุ์โดยรวม ลดลงต่ำกว่าระดับทดแทน ในขณะที่ประชากรไทยมีอายุยืนยาวขึ้นทำให้โครงสร้างของประชากรไทยจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประชากรสูงอายุในอนาคต
สรุป ประชากรโลกและประชากรไทยมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลง ที่คล้ายคลึงกัน คือการเกิด และการตาย แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงของประชากรไทย มีการย้ายถิ่นเกี่ยวข้องด้วย ประมาณร้อยละ 60 ของประชากรโลกอยู่ในทวีปเอเชีย ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีประชากร มากเป็นอันดับที่ 19 ของโลก และมีประชากรคิดเป็น 1% ของประชากรโลก ขนาดของประชากรไทยมีการเคลื่อนไหวของจำนวนประชากร ที่เพิ่มขึ้นทุกปี แต่เป็นการเพิ่มในอัตราที่ลดลงทุกปี ประเทศไทยประสบความสำเร็จด้านการวางแผนครอบครัว ทำให้มีอัตราการเจริญพันธุ์โดยรวม ลดลงต่ำกว่าระดับทดแทน ในขณะที่ประชากรไทยมีอายุยืนยาวขึ้นทำให้โครงสร้างของประชากรไทยจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประชากรสูงอายุในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงประชากรมนุษย์ การเพิ่มจำนวนของมนุษย์เป็นที่น่าสังเกตว่าในอดีตก่อนปี พ.ศ.2493 มีอัตราการเพิ่มต่ำมาก และเป็นเช่นนั้นมาเป็นเวลานาน แต่หลังจากปี พ.ศ. 2493 อัตราการเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วดังภาพที่ 3-1 ทั้งนี้เพราะตั้งแต่ปี พ.ศ.1700 เป็นต้นมามนุษย์ได้เริ่มก้าวเข้าสู่การค้นพบทางวิทยาศาสตร์และได้เพิ่มความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อยมา ความรู้เบื้องต้นทางวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเป็นรากฐานสำคัญในการค้นคิดประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ตามมาอย่างมากเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และความอยู่รอดของมนุษย์ โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางการสาธารณสุขและการแพทย์ ส่งผลให้โอกาสรอดชีวิตของมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างมาก เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ต่อมาความรู้เหล่านี้กระจายออกไปสู่สังคมอื่น ๆ ทั่วโลก เป็นเหตุให้อัตราการตายลดลงและอัตราการเกิดเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประชากรมนุษย์เพิ่มอยู่ในอัตราสูง ดังตาราง 3-1 และ ภาพ 3-1 โดยเฉพาะจะเพิ่มอย่างรวดเร็วมากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 เป็นต้นมา เราจะเรียกช่วงนั้นว่าระยะประชากรระเบิด (Population Boom หรือ Baby Boom) การเพิ่มประชากรเหล่านี้เป็นแรงพลักดันให้มนุษย์ต้องค้นหา
เป็นที่น่าสังเกตว่าการเพิ่มประชากรนั้นระหว่างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (More Developed Countries) กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Less Developed Countries) แตกต่างกันอย่างมาก กล่าวคือ
1. ประเทศที่พัฒนาแล้วอัตราการเพิ่มประชากรมีอัตราเพิ่มค่อนข้างต่ำ
เมื่อเข้าสู่ปี พ.ศ. 2543 มีแนวโน้มว่าอัตราการเพิ่มจะเป็นลบ และเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบ ยุโรป เช่น เยอรมันนี เดนมาร์ก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะประเทศเหล่านี้มีมาตรฐานของชีวิตค่อนข้างสูง มีการศึกษาดี เข้าใจภาวะของครอบครัวและสังคม มีฐานะทางเศรษฐกิจดีรายได้สูง และอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อนมาก ดังนั้นในรอบวันชีวิตจะมีกิจกรรมหลากหลายรัดตัว การจะมีลูกแต่ละครั้งจะต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบถึงความรับผิดชอบในการเลี้ยงดู การให้การศึกษา การอบรม และการวางอนาคตของเยาวชน อีกประการหนึ่งภาวะสังคมของประเทศพัฒนาแล้วนั้นประชากรชายหรือหญิงต่างก็มีอาชีพของตนเอง ผู้หญิงไม่ได้มีภาวะต้องพึ่งพาสามีเป็นผู้เลี้ยงดูอีกต่อไป สามารถยังชีพด้วยตนเองได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาคู่ครองเพื่อให้เลี้ยงดูตน การแต่งงานจึงลดน้อยลงไป คนโสดมีมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้แนวโน้มว่าในอนาคตประชากรจะลดลงเรื่อย ๆ ดังตารางที่ 3-2 ซึ่งคาดคะเนอนาคตของประชากรในประเทศที่มีจำนวนประชากรสูง 20 อันดับแรกของโลก จะเห็นว่าในปี พ.ศ. 2593 ประเทศพัฒนาแล้วที่ติดอันดับอยู่ 3 ประเทศในปี พ.ศ.2546 คือ ญี่ปุ่นมีประชากรอยู่ 126 ล้าน ลดลงเหลือ 110 ล้าน ในปี พ.ศ. 2593 ส่วนประเทศเยอรมันนีมีประชากร 82 ล้านคนและประเทศฝรั่งเศสมีประชากร 60 ล้านคน เมื่อถึงปี พ.ศ. 2593 ไม่ปรากฏในตาราง นั่นคือ 2 ประเทศนี้มีประชากรไม่ถึง 89 ล้านคนนั่นเอง
ภาวะเช่นนี้กลับสร้างปัญหาให้กับประเทศเหล่านี้ตามมา คือ ขาดแคลนแรงงาน ค่าแรงราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง เสียเปรียบการแข่งขันในตลาดโลก และทำให้มีแรงงานต่างชาติอพยพเข้ามา เกิดภาวะความขัดแย้งทางสังคมตามมาได้
2. ประเทศกำลังพัฒนามีอัตราการเพิ่มประชาสูงอย่างต่อเนื่อง
ในประเทศกำลังพัฒนากลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 เป็นต้นมามีอัตราการเพิ่มที่น่าตกใจ แต่ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาอัตราการเพิ่มเริ่มลดลงในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก เอเชีย และ ลาตินอเมริกา ยกเว้นทวีปอฟริกา โดยอัตราการขยายตัวของประชากรโลกโดยเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.31% กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราการเกิดเพียง 0.31% ขณะที่แอฟริกาอัตราการเกิดมีอัตราเพิ่มลดลง แต่ยังถือว่าสูง ถึง 2.31% (อนุสรณ์ ธรรมใจ, 2547.) และจะเห็นได้ชัดเจนจากตาราง 3-2 ที่ประเทศจากทวีปแอฟริกาดังกล่าวติดเข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีประชากรมาก 20 อันดับแรกจำนวนมากถึง 6 ประเทศ คือ ไนจีเรีย คองโก เอธิโอเปีย อียิปต์ ซูดาน ยูกานดา ประเทศเหล่านี้ถ้าพิจารณาถึงศักยภาพการเลี้ยงดูประชากรแล้วจะพบว่ามีปัญหาค่อนข้างสูง เป็นประเทศขนาดเล็ก มีทรัพยากรธรรมชาติไม่มากนัน และยังมีปัญหาทางด้านศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์อีกด้วย นอกจากนี้มีบางประเทศของเอเชียก็มีอัตราการเพิ่มสูงมากด้วย เช่น ปากีสถาน บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และเวียดนาม
การเปลี่ยนแปลงของประชากรมนุษย์ในลักษณะของการเพิ่มจำนวนอย่างมากนี้เป็นแรงผลักให้ต้องแสวงหาพื้นที่ทำกินมากขึ้น อีกทั้งประเทศเหล่านี้มีความก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีค่อนข้างต่ำ ขาดศักยภาพในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อเป็นแหล่งที่มาของรายได้ในการเลี้ยงดูประชากรโดยรวม ดังนั้นรายได้จึงได้มาจากการขยายพื้นที่เพื่อการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงดังได้กล่าวมาแล้ว
จากปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงประชากรดังกล่าวถ้าพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคมของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น จะพบว่าส่งผลต่อโครงสร้างของประชากรที่สำคัญ คือ สัดส่วนระหว่างวัยทำงาน (19-60 ปี) กับวัยที่อยู่ภาวะพึ่งพิง (วัยเด็ก (0-19 ปี) และวัยชรา(มากกว่า 60 ปี) ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะประสบปัญหากับประชากรที่มีอายุยืนยาวขึ้น เพราะความก้าวหน้าทางการสาธารณสุข ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโภชนาการ การออกกำลังกายที่ถูกต้องล้วนส่งให้คนในประเทศพัฒนาแล้วมีอายุยืนยาวมากขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่อัตราการเกิดของทารกลดลง แต่ในประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้เป็นไปเช่นนี้วัยที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงเป็นวัยเด็ก ซึ่งเนื่องมาจากอัตราการเกิดสูงนั่นเอง
การกระจายตัวของทรัพยากรมนุษย์ การกระจายของประชากรก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งเพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประชากรบางบริเวณอาศัยอยู่หนาแน่นบางบริเวณก็เบาบาง ทั้งนี้ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการดำรงชีวิตยากง่ายอย่างไรนั่นเอง จะพบว่าบริเวณที่ประชากรหนาแน่นมักเป็นแหล่งที่มีความมั่นคงทางอาหาร เช่น พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ พื้นที่ผุพังของหินซากภูเขาไฟเก่า พื้นที่ริมฝั่งทะเลและอากาศไม่หนาวเกินไป เป็นต้น โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นโลกเก่าซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานมานานจะหนาแน่นมากเป็นพิเศษ เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำของประเทศจีน อินเดียและยุโรป ในปัจจุบันทำเลที่ตั้งที่อยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมเส้นทางขนส่งและความได้เปรียบเชิงอุตสาหกรรมก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งให้ประชากรตั้งถิ่นฐานอยู่หนาแน่น ส่วนบริเวณที่ประชากรเบาบางเป็นพื้นที่ที่หาอาหารได้ค่อนข้างลำบาก เช่น พื้นที่ทะเลทราย ทุ่งหญ้า ที่สูงหรือหนาวจัด
นอกจากการกระจายตัวของประชากรในลักษณะความหนาแน่นแล้ว อีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือ ความเป็นเมืองและชนบท กิจกรรมของประชากรที่เป็นสมาชิกของเมืองและชนบทนั้นมีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน กล่าว คือ คนเมืองมีการตั้งถิ่นฐานหนาแน่น กิจกรรมส่วนใหญ่มีการแข่งขันสูง เร่งรีบ รายได้และรายจ่ายสูง ต้องอาศัยทรัพยากรอาหารจากชนบท ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันขึ้นกับบทบาทและหน้าที่ อาชีพผูกพันกับการบริการและอุตสาหกรรม บริโภคพลังงานสูง ส่วนชนบทจะตรงกันข้าม คือ ตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายไม่หนาแน่น มีวิถีชีวิตไม่เร่งรีบ อยู่อย่างเรียบง่าย สามารถพึ่งพาตนเองทางการอาหารได้ ปฏิสัมพันธ์แบบเครือญาติ บริโภคพลังงานค่อนข้างต่ำ อาชีพจะผูกพันกับการเกษตรกรรมเป็นสำคัญ จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจากภาพที่องค์การนาซ่าของสหรัฐอเมริกาถ่ายภาพโลกเอาไว้ โดยมองเห็นการใช้พลังงานกับความเป็นเมือง (Urbanization) ได้อย่างชัดเจน
เป็นที่น่าสังเกตว่าการเพิ่มประชากรนั้นระหว่างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (More Developed Countries) กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Less Developed Countries) แตกต่างกันอย่างมาก กล่าวคือ
1. ประเทศที่พัฒนาแล้วอัตราการเพิ่มประชากรมีอัตราเพิ่มค่อนข้างต่ำ
เมื่อเข้าสู่ปี พ.ศ. 2543 มีแนวโน้มว่าอัตราการเพิ่มจะเป็นลบ และเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในแถบ ยุโรป เช่น เยอรมันนี เดนมาร์ก ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะประเทศเหล่านี้มีมาตรฐานของชีวิตค่อนข้างสูง มีการศึกษาดี เข้าใจภาวะของครอบครัวและสังคม มีฐานะทางเศรษฐกิจดีรายได้สูง และอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อนมาก ดังนั้นในรอบวันชีวิตจะมีกิจกรรมหลากหลายรัดตัว การจะมีลูกแต่ละครั้งจะต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบถึงความรับผิดชอบในการเลี้ยงดู การให้การศึกษา การอบรม และการวางอนาคตของเยาวชน อีกประการหนึ่งภาวะสังคมของประเทศพัฒนาแล้วนั้นประชากรชายหรือหญิงต่างก็มีอาชีพของตนเอง ผู้หญิงไม่ได้มีภาวะต้องพึ่งพาสามีเป็นผู้เลี้ยงดูอีกต่อไป สามารถยังชีพด้วยตนเองได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาคู่ครองเพื่อให้เลี้ยงดูตน การแต่งงานจึงลดน้อยลงไป คนโสดมีมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้แนวโน้มว่าในอนาคตประชากรจะลดลงเรื่อย ๆ ดังตารางที่ 3-2 ซึ่งคาดคะเนอนาคตของประชากรในประเทศที่มีจำนวนประชากรสูง 20 อันดับแรกของโลก จะเห็นว่าในปี พ.ศ. 2593 ประเทศพัฒนาแล้วที่ติดอันดับอยู่ 3 ประเทศในปี พ.ศ.2546 คือ ญี่ปุ่นมีประชากรอยู่ 126 ล้าน ลดลงเหลือ 110 ล้าน ในปี พ.ศ. 2593 ส่วนประเทศเยอรมันนีมีประชากร 82 ล้านคนและประเทศฝรั่งเศสมีประชากร 60 ล้านคน เมื่อถึงปี พ.ศ. 2593 ไม่ปรากฏในตาราง นั่นคือ 2 ประเทศนี้มีประชากรไม่ถึง 89 ล้านคนนั่นเอง
ภาวะเช่นนี้กลับสร้างปัญหาให้กับประเทศเหล่านี้ตามมา คือ ขาดแคลนแรงงาน ค่าแรงราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง เสียเปรียบการแข่งขันในตลาดโลก และทำให้มีแรงงานต่างชาติอพยพเข้ามา เกิดภาวะความขัดแย้งทางสังคมตามมาได้
2. ประเทศกำลังพัฒนามีอัตราการเพิ่มประชาสูงอย่างต่อเนื่อง
ในประเทศกำลังพัฒนากลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 เป็นต้นมามีอัตราการเพิ่มที่น่าตกใจ แต่ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาอัตราการเพิ่มเริ่มลดลงในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก เอเชีย และ ลาตินอเมริกา ยกเว้นทวีปอฟริกา โดยอัตราการขยายตัวของประชากรโลกโดยเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.31% กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราการเกิดเพียง 0.31% ขณะที่แอฟริกาอัตราการเกิดมีอัตราเพิ่มลดลง แต่ยังถือว่าสูง ถึง 2.31% (อนุสรณ์ ธรรมใจ, 2547.) และจะเห็นได้ชัดเจนจากตาราง 3-2 ที่ประเทศจากทวีปแอฟริกาดังกล่าวติดเข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีประชากรมาก 20 อันดับแรกจำนวนมากถึง 6 ประเทศ คือ ไนจีเรีย คองโก เอธิโอเปีย อียิปต์ ซูดาน ยูกานดา ประเทศเหล่านี้ถ้าพิจารณาถึงศักยภาพการเลี้ยงดูประชากรแล้วจะพบว่ามีปัญหาค่อนข้างสูง เป็นประเทศขนาดเล็ก มีทรัพยากรธรรมชาติไม่มากนัน และยังมีปัญหาทางด้านศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์อีกด้วย นอกจากนี้มีบางประเทศของเอเชียก็มีอัตราการเพิ่มสูงมากด้วย เช่น ปากีสถาน บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และเวียดนาม
การเปลี่ยนแปลงของประชากรมนุษย์ในลักษณะของการเพิ่มจำนวนอย่างมากนี้เป็นแรงผลักให้ต้องแสวงหาพื้นที่ทำกินมากขึ้น อีกทั้งประเทศเหล่านี้มีความก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีค่อนข้างต่ำ ขาดศักยภาพในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อเป็นแหล่งที่มาของรายได้ในการเลี้ยงดูประชากรโดยรวม ดังนั้นรายได้จึงได้มาจากการขยายพื้นที่เพื่อการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงดังได้กล่าวมาแล้ว
จากปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงประชากรดังกล่าวถ้าพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคมของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้น จะพบว่าส่งผลต่อโครงสร้างของประชากรที่สำคัญ คือ สัดส่วนระหว่างวัยทำงาน (19-60 ปี) กับวัยที่อยู่ภาวะพึ่งพิง (วัยเด็ก (0-19 ปี) และวัยชรา(มากกว่า 60 ปี) ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะประสบปัญหากับประชากรที่มีอายุยืนยาวขึ้น เพราะความก้าวหน้าทางการสาธารณสุข ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโภชนาการ การออกกำลังกายที่ถูกต้องล้วนส่งให้คนในประเทศพัฒนาแล้วมีอายุยืนยาวมากขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่อัตราการเกิดของทารกลดลง แต่ในประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้เป็นไปเช่นนี้วัยที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงเป็นวัยเด็ก ซึ่งเนื่องมาจากอัตราการเกิดสูงนั่นเอง
การกระจายตัวของทรัพยากรมนุษย์ การกระจายของประชากรก็เป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งเพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประชากรบางบริเวณอาศัยอยู่หนาแน่นบางบริเวณก็เบาบาง ทั้งนี้ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการดำรงชีวิตยากง่ายอย่างไรนั่นเอง จะพบว่าบริเวณที่ประชากรหนาแน่นมักเป็นแหล่งที่มีความมั่นคงทางอาหาร เช่น พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ พื้นที่ผุพังของหินซากภูเขาไฟเก่า พื้นที่ริมฝั่งทะเลและอากาศไม่หนาวเกินไป เป็นต้น โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นโลกเก่าซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานมานานจะหนาแน่นมากเป็นพิเศษ เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำของประเทศจีน อินเดียและยุโรป ในปัจจุบันทำเลที่ตั้งที่อยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมเส้นทางขนส่งและความได้เปรียบเชิงอุตสาหกรรมก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งให้ประชากรตั้งถิ่นฐานอยู่หนาแน่น ส่วนบริเวณที่ประชากรเบาบางเป็นพื้นที่ที่หาอาหารได้ค่อนข้างลำบาก เช่น พื้นที่ทะเลทราย ทุ่งหญ้า ที่สูงหรือหนาวจัด
นอกจากการกระจายตัวของประชากรในลักษณะความหนาแน่นแล้ว อีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือ ความเป็นเมืองและชนบท กิจกรรมของประชากรที่เป็นสมาชิกของเมืองและชนบทนั้นมีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน กล่าว คือ คนเมืองมีการตั้งถิ่นฐานหนาแน่น กิจกรรมส่วนใหญ่มีการแข่งขันสูง เร่งรีบ รายได้และรายจ่ายสูง ต้องอาศัยทรัพยากรอาหารจากชนบท ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันขึ้นกับบทบาทและหน้าที่ อาชีพผูกพันกับการบริการและอุตสาหกรรม บริโภคพลังงานสูง ส่วนชนบทจะตรงกันข้าม คือ ตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายไม่หนาแน่น มีวิถีชีวิตไม่เร่งรีบ อยู่อย่างเรียบง่าย สามารถพึ่งพาตนเองทางการอาหารได้ ปฏิสัมพันธ์แบบเครือญาติ บริโภคพลังงานค่อนข้างต่ำ อาชีพจะผูกพันกับการเกษตรกรรมเป็นสำคัญ จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจากภาพที่องค์การนาซ่าของสหรัฐอเมริกาถ่ายภาพโลกเอาไว้ โดยมองเห็นการใช้พลังงานกับความเป็นเมือง (Urbanization) ได้อย่างชัดเจน